การพัฒนาผู้เรียนตามความสามารถที่แตกต่างกันจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถทุกด้าน ตาม แนวคิดของการ์ดเนอร์ (Gardner อ้างใน วิชัย วงษ์ใหญ่, 2542 : 8 -11) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้นำเสนอ ทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence theory) สรุปได้ว่า ผู้เรียนมีความสามารถทั้ง 8 ด้าน คือ ด้านภาษา ด้านตรรกและคณิตศาสตร์ ด้านภาพมิติสัมพันธ์ ค้านร่างกายและการเคลื่อนไหวด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง และด้านความเข้าใจสภาพธรรมชาติ การเสริมสร้างความเก่งหรือศักยภาพความสามารถ ด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน ผู้สอนจะต้องเข้าใจผู้เรียน รู้ถึงความถนัดความสามารถในการเรียนรู้ที่ หลากหลาย ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อจะกระตุ้นความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนให้มี ความเด่นชัดปรากฏออกมาด้วยความรู้ความเข้าใจ ผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจ มีความอดทนในการสังเกต ประเมินจากผลการเรียนรู้ของผู้เรียน การพัฒนาความสามารถผู้สอนจึงมีหน้าที่ค้นหาความสามารถของผู้เรียนว่าเด่นและด้อยในเรื่องใดบ้าง เพื่อจัดกิจกรรมสนับสนุนช่วยเหลือความสามารถในแต่ละด้านของผู้เรียนให้พัฒนาไปให้เต็มศักยภาพของตน
แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 23 ระบุว่า การ จัดการศึกษาต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการ ซึ่งวิชัย วงษ์ใหญ่ (2547 : 2) กล่าวว่า การบูรณาการ คือ การผสมผสานที่กลมกลืนกันอย่างมีคุณภาพ ระหว่างองค์ประกอบหรือ ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่มีเป้าหมายตรงกัน เพื่อให้ได้มาสิ่งใหม่หรือสภาพใหม่ที่มีคุณค่าและ สมบูรณ์แบบ โดยมีอัตราส่วนผสมที่มอบหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและด้วยวิธีการที่มี ประสิทธิภาพ จะได้ประโยชน์จากการบูรณาการสู่ชีวิตและการเรียนรู้
การบูรณาการการเรียนรู้ คือ การเชื่อมโยงระหว่างสาขาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตร จะช่วยให้ผู้เรียน ตระหนักว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ มีประโยชน์และสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ลักษณะการเรียนรู้จะจัดเป็น หน่วยการเรียนรู้หรือเป็นหัวเรื่อง
หน่วยบูรณาการ thematic approach จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้คือ
- ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมาย
- เกิดองค์ความรู้ ความคิดแบบองค์รวม พัฒนาความสามารถการคิด
- เห็นความเชื่อมโยง นำไปสู่ความสามารถในการแก้ปัญหาแบบองค์รวม
- เกิดประสบการณ์ นำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
- ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2547 : 4) กล่าวสรุปไว้ว่า ลักษณะการบูรณาการ 4 แบบ คือ
1. การสอดแทรก (infusion) การบูรณาการแบบเชื่อมโยงโดยผู้สอนคนเดียว วิธีการสอดแทรกนี้ ผู้สอนวิชาใดวิชาหนึ่งนำวิชาอื่น ๆ มาบูรณาการกับวิชาที่ตนสอนและสามารถเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงกับหัวเรื่อง ชีวิตจริงหรือภาระการเรียนรู้ที่กำหนดขึ้นมา
2. คู่ขนาน (parallel) วิธีการคู่ขนานผู้สอนหลายคนมาจากหลายวิชามาวางแผนร่วมกัน เพื่อรวม องค์ประกอบของหัวเรื่อง (theme) มโนทัศน์ (concept) หรือปัญหา (problem) แล้วผู้สอนแต่ละคน แต่ละ วิชาแยกกันและการกำหนดชิ้นงานขึ้นอยู่กับผู้สอน แต่ต้องสะท้อนถึงหัวเรื่องแนวคิดหรือปัญหาที่กำหนดไว้ ร่วมกัน การบูรณาการแบบคู่ขนานในการสอน ผู้สอนอาจตกลงกันว่าจะยึดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ สอดคล้องกับการพัฒนาสังคมและชีวิตที่มีการเชื่อมโยงคู่ขนาน เช่น ผู้สอนวิทยาศาสตร์จะสอนเรื่องเงา ผู้สอนศิลปอาจจะให้ผู้เรียนรู้เทคนิคการวาดรูปที่มีเงา
3. พหุวิทยาการ (multidisciplinary) วิธีการพหุวิทยาการผู้สอนหลายคนมาจากหลายสาขาวิชามา วางแผนร่วมกันที่จะสอนเกี่ยวกับหัวเรื่อง (theme) มโนทัศน์ ( concept) หรือปัญหา (Problem) และกำหนด ภาพรวมของโครงการร่วมกันให้ออกมาเป็นชิ้นงานแบ่งโครงการออกเป็นโครงการย่อย การบูรณาการในหลายสาขาผู้สอนร่วมมือกันสอนเป็นแบบโครงการ โดยใช้องค์ความรู้จากหลาย ๆสาขาวิช สามารถวางแผนสร้างสรรค์โครงการของตนเองขึ้นมาได้ โดยใช้เวลาการเรียนต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง
4. การข้ามวิชาหรือการสอนเป็นทีม (transdisciplinary) วิธีการข้ามวิชาหรือสอนเป็น แต่ละรายวิชามาวางแผนร่วมกันในองค์ประกอบของ หัวเรื่อง (theme) มโนทัศน์ (concept) หรือปัญหา(problem) กำหนดเป็นโครงการขึ้นมาและร่วมกันสอนเป็นคณะ
กรมวิชาการ (กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ, 2545 : 6 - 7) เสนอแนวคิดในการจัดการเรียน การสอนแบบบูรณาการไว้ดังนี้
1. การบูรณาการแบบผู้สอนคนเดียว เป็นการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนหนึ่งคน มีการเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ กับชีวิตจริง หรือการเชื่อมโยงสาระและกระบวนการเรียนรู้ภายในกลุ่มสาระ ต่าง ๆ เช่น การอ่าน การเขียน คิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์ ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและกระบวนการเรียนรู้ ไปแสวงหาความรู้ความจริงจากหัวข้อเรื่องที่กำหนด
2. การบูรณาการแบบคู่ขนาน เป็นการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนสองคนขึ้นไป ร่วมกันจัดการเรียนการสอนโดยยึดหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เช่น ครูคนหนึ่งสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ส่วนครูอีกคน หนึ่งสอนวิชาคณิตศาสตร์ ในการสอนเรื่อง “น้ำ” วิชาวิทยาศาสตร์อาจสอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำสถานะต่าง ๆ ส่วนวิชาคณิตศาสตร์อาจสอนการวัดปริมาตรหรือน้ำหนักของน้ำ
3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการ เป็นการจัดการเรียนการสอนจากการนำเนื้อหาจากหลายกลุ่ม สาระมาเชื่อมโยงและจัดการเรียนการสอนร่วมกันในเรื่องเดียวกัน เช่น ในวันสิ่งแวดล้อม ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย จัดการเรียนการสอนให้เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์จัดกิจกรรมค้นคว้าหา ความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาและวิชาสุขศึกษาให้เรียนรู้โดยทำกิจกรรมชมรม สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
4. การบูรณาการแบบโครงการ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ครูผู้สอนและนักเรียนร่วมกัน สร้างสรรค์โครงการ และใช้เวลาเรียนต่อเนื่องกันได้หลายชั่วโมง โดยการนำจำวนชั่วโมงของแต่ละรายวิชา ที่แยกกันอยู่ ที่เคยแยกกันสอน มารวมเป็นเรื่องเดียวกัน กำหนดเป้าหมายเดียวกัน ในลักษณะของการสอน เป็นทีม ถ้าต้องการเน้นทักษะเฉพาะก็สามารถแยกกันสอนได้ เช่น กิจกรรมเข้าค่ายภาษาอังกฤษ กิจกรรมค่าย ศิลปะ เป็นต้น
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2547 :5) สรุปภาพรวมของรูปแบบเรียนการสอนแบบการบูรณาการ วิธีการ กิจกรรม การประเมินผล และผลการเรียนรู้ ไว้ดังนี้
ตารางที่ 22 รูปแบบการบูรณาการ วิธีการ/กิจกรรม การประเมิน และผลการเรียนรู้
การบูรณาการ
|
วิธีการ/กิจกรรม
|
การประเมิน
|
ผลการเรียนรู้
|
สอดแทรก
|
ผู้สอนกำหนดหัวเรื่องและสอดแทรกสาระจากวิชาอื่น ๆ เข้ามาในวิชาของตนและมอบหมายงานตามที่กำหนด
|
ประเมินจากงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
|
ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาและเรียนรู้อย่างมีความหมาย
|
คู่ขนาน
|
ผู้สอนหลายคนวางแผนร่วมกันโดยกำหนดหัวเรื่อง ความคิดรวบยอด ปัญหา สถานการณ์ ผู้สอนแต่ละคนสอนในวิชาของตนภายในหัวเรื่องเดียวกัน และมอบหมายงานโครงงานทำร่วมกันเป็นโครงงานย่อยของแต่ละรายวิชาให้กับผู้เรียน
|
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามที่เกณฑ์กำหนด
|
ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาสร้างสรรค์งานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมาย
|
พหุวิทยาการ
|
ผู้สอนหลายคนวางแผนการสอนร่วมกัน โดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอด ปัญหา สถานการณ์ แล้วผู้สอนแต่ละคนต่างแยกกันสอนภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน
|
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
|
ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาสร้างสรรค์งานได้ และเรียนร็อย่างมี ความหมาย มีประสบการณ์
|
สอนเป็นทีมหรือข้ามวิชา
|
ผู้สอนหลายคนวางแผนร่วมกันสอนเป็นทีม โดยกำหนดหัวเรื่อง ความคิด รวบยอด สถานการณ์ สาระจุดประสงค์ โดยร่วมกันสอนเป็นทีมในเรื่องเดียวกันตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดให้กับผู้เรียนกลุ่มเดียวกัน ผู้สอนกำหนดโครงการชิ้นงานให้กับผู้เรียนทำร่วมกันเป็นงานใหญ่ชิ้นเดียว มีกิจกรรมการแสวงหาความรู้ การปฏิบัติงานร่วมกัน
|
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
|
ผู้เรียนมีความรู้ในการเชื่อมโยงสาขาต่าง ๆ นำความรู้มาสร้างสรรค์โครงการ ชิ้นงานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมาย มีประสบการณ์ มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น